เทศน์เช้า

กรณีหนังสือหลวงปู่มั่น

๑๗ ต.ค. ๒๕๔๒

 

กรณีหนังสือหลวงปู่มั่น
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๔๒
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ขัดกันโดยตัวมันเองอยู่ในหนังสือนั้นเลย

เช่น คำถามใช่ไหม คำถามว่า สอุปาทิเสสนิพพาน แล้วคำตอบมันควรจะเป็นคำถาม

คำตอบว่า “ถ้าอย่างนั้น คนที่ตายไปก็ต้องเป็นพระอรหันต์หมดสิ” ใช่ไหม ไอ้คำนี้

อาจารย์มหาบัวพูดนะ อาจารย์มหาบัวพูดเลย ในอนัตตลักขณสูตรกับในอาทิตตปริยายสูตร เพราะอาทิตฯ มนสฺมึปิ นิพฺพินฺทติ ใช่ไหม แต่ในอนัตฯ รูปสฺมึปิ นิพฺพินฺทติ เวทนายปิ นิพฺพินฺทติ สญฺญายปิ นิพฺพินทติ สงฺขาเรสุปิ นิพฺพินฺทติ วิญฺญาณสฺมึปิ นิพฺพินฺทติ ละขันธ์ ๕ ไง นิพฺพินฺทํ วิรชฺชติ ละขันธ์ ๕ แล้วถึงนิพพาน อาจารย์มหาบัวบอกว่า เป็นไปไม่ได้ ถ้าพระอรหันต์นะ แค่นี้พระอรหันต์นะ ไม่ใช่ ถ้าคนถึงตรงนี้เป็นพระอรหันต์ พระอรหันต์ต้องรู้ พระอรหันต์ต้องรู้ว่าละขันธ์ ๕ แล้วนิพพานนี่เป็นไปไม่ได้ ในอนัตตลักขณสูตร

ถ้าเป็นอาทิตฯ นะ มนสฺมึปิ นิพฺพินฺทติ เห็นไหม มันไปที่ใจแล้ว มโนสมฺผสฺเสปิ นิพฺพินฺทติ นี่ถ้าถึงตรงนี้มันละถึงขั้วของกิเลสไง เรื่องของอวิชชา นี่ในอนัตฯ นะ ในพระสูตรที่เป็นพระสูตรหลักๆ ในคำสวดเรา มันยังมีความผิดพลาดบ้าง

อาจารย์มหาบัวบอกบ่อย ถ้าละขันธ์ ๕ แล้วเป็นพระอรหันต์นะ เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้เลย เพราะมันยังไม่ละตอของจิต ยังไม่ละอวิชชา ขันธ์ไม่ใช่อวิชชา อวิชชาไม่ใช่ขันธ์ นี่พระอรหันต์ต้องรู้อย่างนี้ รู้ขนาดนี้นะ

แล้วทำไมบอกว่า เวลาคนตายไป พอตายปั๊บก็จะเหมือนพระอรหันต์ทั้งหมด

นี่ไง ละขันธ์ ๕ ฟังนะ จิตนี่ขันธ์ ๕ มันคลุมอยู่ ๓-๔ ชั้น ตั้งแต่โสดาบัน สกิทา อนาคา นี่ขันธ์ ๕ คลุมอยู่ แล้วขันธ์นี่มันขาดออกไปจากใจ เวลาพระอนาคาตายนะ จิตนี่มันรู้เท่าหมด เหมือนกับที่ว่าเราบอกว่า ไอ้ที่ว่าเราจะไปเครื่องบิน เราต้องมีตั๋วเครื่องบิน ในเมื่อเราฉีกตั๋วเครื่องบินแล้ว เราจะไปเครื่องบินได้อย่างไร ไม่มีสิทธิ์ไปได้

ในเมื่อขันธ์กับจิตนี้มันขาดออกจากกัน ตอนที่ขาดออกจากกันนี่ขันธ์กับจิตเป็นเนื้อเดียวกัน ทำบุญกุศลจะรวมอยู่ที่จิตหมดเลย คนที่มีบุญก็ไปพร้อมกับบุญนี่ แล้วมันขาดออก ขันธ์กับจิตมันขาดออกจากกัน พอขาดออกจากกันนี่กามภพมันขาดไง มันไปไม่ได้ เพราะอะไร เพราะว่ามันไม่มีตั๋วเครื่องบินไปได้ไง ขึ้นเครื่องบินไม่มีตั๋วเครื่องบินเขาก็ไล่ลงน่ะสิ ในเมื่อขันธ์กับจิตมันขาดออกจากกันนี่มันไปอีกไม่ได้ มันก็ต้องดับไปธรรมดาของมัน นี่ขนาดขันธ์นะ แล้วพระอรหันต์ขนาดที่ว่า จิตนั้นไม่มีอีก

ถึงบอกว่า พระอรหันต์ตายกับคนตายมันไม่เหมือนกัน

เวลาคนเราตายนี่ ขันธ์ เช่น เราไปไหนเราจำบ้านเราได้ไหม นี่ขันธ์คือความจำสัญญา มันผูกอยู่ที่จิต ทีนี้มันผูกอยู่ที่จิต กายมันก็ดับไปพร้อมจิต บาปมันก็อยู่ที่จิต ก็คนธรรมดาตายมันตายด้วยความวิตกกังวล มันตายด้วยห่วงสมบัติ ห่วงลูก ห่วงหลาน ห่วงทุกอย่าง แต่พระอนาคายังหลุดไปแล้ว นี่แล้วทำไมมาตอบได้อย่างไรว่าคนตายด้วยกันมันก็จะเป็นพระอรหันต์ด้วยกัน

เพราะสอุปาทิเสสนิพพาน นี่ตอบ ไม่เชื่อ อย่างไรก็ไม่เชื่อ แล้วมันขัดกันเอง ขัดกันเองในที่ว่าเรื่องพระสารีบุตร เรื่องพระสารีบุตรนี่เขาถามกันว่า สอุปาทิเสสนิพพาน หมายถึงว่า คนยังตกนรกอยู่หรือเปล่า เห็นไหม ในสูตรนั้นก็ไม่ได้บอกถึงว่าสอุปาทิเสสนิพพาน ไม่ได้พูดถึงคำว่านิพพาน พูดถึงว่า อเสขบุคคลไง เสขบุคคลกับอเสขบุคคล บุคคลที่จะต้องศึกษาอยู่กับบุคคลที่ไม่ต้องศึกษาใช่ไหม

อเสขบุคคล เห็นไหม พระโสดาบันปิดอบายภูมิเด็ดขาด! พระโสดาบันนะ ขันธ์ที่ยึดกายมันขาดออกจากใจ ขาดออกไปแล้ว พอขาดออกไปปั๊บมันก็เห็นใช่ไหม เรานี่เห็น หมอถ้ารู้ว่าเราเป็นเอดส์นี่หมอจะตกใจมากเลยว่าเราเป็นเอดส์ เราต้องประคองรักษาชีวิตของตัวเอง

อันนี้เหมือนกัน เหมือนกันที่ว่า ในเมื่อกายกับจิตมันแยกออกจากกัน มันเห็นตามความเป็นจริงใช่ไหม พอเห็นตามความเป็นจริง มันเป็นเอดส์มันเป็นเพราะว่ามันสุดวิสัย แต่อันนี้มันขาดตามความเป็นจริง มันเห็นตามความเป็นจริง พอมันเห็นตามความเป็นจริงนี่ มันจะไม่ทำความผิดไง มันจะไม่สีลัพพตปรามาส มันจะไม่มีความลังเลสงสัย เห็นไหม แต่กายกับจิตขาดออก ขาดโดยธรรมชาติของมัน พอขาดมันเห็นจริง เห็นจริงมันจะไม่ทำความผิดเด็ดขาด มันถึงไม่ตกไปอบายภูมิเด็ดขาดไง คือว่าไม่สีลัพพตปรามาส ศีลจะบริสุทธิ์หมด

ถ้าศีล ๕ นี่ปิดอบายภูมิ...ถูกต้อง แต่ต้องศีล ๕ เด็ดขาดนะ ไอ้คนที่มีศีล ๕ บอกปิดอบายภูมิ นี่ปิด มนุษย์เกิดมาเพราะศีล ๕ ศีล ๕ นี่ทำให้มนุษย์สมบัติ ที่ว่าเกิดเป็นมนุษย์ขึ้นมานี่มีศีล ๕ เราถึงว่ามีศีล ๕ เป็นตั๋ว เป็นใบผ่านมา เรามีบุญกุศลเกิดมามันก็เกิดเป็นมนุษย์ นี่เป็นมนุษย์แล้วมันสงสัย ไอ้ศีล ๕ มันบริสุทธิ์อยู่เวลาเราตั้งใจ เวลามันพลาดไปล่ะ นี้มันถึงว่ายังปิดอบายไม่ได้

สูตรที่ว่าบอกว่า พระสารีบุตรพูดถึงเรื่องสะ เรื่องปิดอบายภูมิ แล้วเอามาตอบนี่มันคนละเรื่องไง มันคนละเรื่อง มันตอบมันเลยขัดกันไง

เสขบุคคล อเสขบุคคล ไม่ใช่นิพพานนะ เสขบุคคลนี่ยังหมุนอยู่ในอบายภูมิไง อย่างผู้ที่ยังมีความผิดพลาดอยู่ไง อเสขบุคคลคือว่าตั้งแต่โสดาบันขึ้นมาถึงอนาคามี อันนั้นก็เขียนชัดๆ ในพระสูตรก็ตอบอยู่ชัดๆ นี่เอาอย่างนี้มาตอบมันเป็นไปไม่ได้

ถ้าอย่างอาจารย์มหาบัวพูด เห็นไหม ขันธ์ ๕ ที่เป็นภาระกับขันธ์ ๕ ที่เป็นทุกข์ นี่ชัวร์ ขันธ์ ๕ ที่เป็นภาระคือว่าขันธ์ที่มันขาดไปแล้วนี่มันขาดมี ขาดมีมันเป็นภาระเฉยๆ

อาหาร ๔ ไง กวฬิงการาหาร อาหารคำข้าว มนุษย์นี่กิน วิญญาณาหารนี่เทวดากิน วิญญาณาหารนี่อาหารทิพย์ ผัสสาหารนี่พรหม ผัสสาหารเป็นด้วยความสัมผัส มโนสัญเจตนาหารนี่อะไร มโนนี่เป็นอาหารเหรอ มโนสัญเจตนาหารเป็นอาหารของอะไร นี่เป็นสมมุติอันหนึ่ง ที่ว่าพระอรหันต์ลงมาสืบต่อกับหลวงปู่มั่นไง นี่ผ่านมโนสัญเจตนา คือขันธ์ ๕ ที่ขาดไปแล้วนี่ไง แต่มันขาดมี มันผ่านมาไง มันผ่านมาเพื่อจะสมมุติกัน มันเป็นสมมุติบัญญัติอยู่ มันผ่านตรงนี้ได้ มโนสัญเจตนาหาร อาหาร ๔ ในวัฏฏะ สามวัฏฏะนี้ ในโลกนี้มันยังใช้อาหารคำข้าวนี้ อาหารคำข้าวนี้อาหารมนุษย์ อาหารทิพย์คืออาหารของเทวดานี่วิญญาณาหาร พรหมนี่ผัสสาหาร แล้วมโนสัญเจตนาหารลงมาตรงนี้ไง

ฉะนั้น ถึงว่าคนตายมันชัดมาก ขนาดพระโสดาบันก็รู้แล้วว่าปุถุชนตายกับโสดาบันตายนี่ต่างกันแล้ว เพราะโสดาบันตายด้วยมีสติ ตายด้วยความรู้ สกิทาตาย อนาคาตาย นี่พระอรหันต์ตายกับคนตายเอามาตอบนี่มัน...

ไม่เชื่อว่าหลวงปู่มั่นตอบนะ ไม่เชื่อ หนังสือนี้ไม่เชื่อ อย่างไรก็ไม่เชื่อ เพราะไม่ต้องตอบ มันสะเทือนอยู่แล้ว คนรู้มันสะเทือนอยู่แล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้ไง แต่สอุปาทิเสสนิพพานมันอยู่ตรงนี้ไง ตรงที่พระพุทธเจ้านิพพานตั้งแต่ฉันข้าวของนางสุชาดา พระพุทธเจ้าถึงบอกไว้นะ “อาหารที่ถวายพระพุทธเจ้านี่มีบุญกุศลมหาศาลอยู่ ๒ คราว คราวหนึ่งนางสุชาดาถวายอาหารเรา แล้วเราถึงซึ่งกิเลสนิพพาน” ฟังสิ “กิเลสนิพพาน” คือว่าท่านเป็นพระอรหันต์ กิเลสมันตาย พอกิเลสตายขันธ์ก็บริสุทธิ์ เห็นไหม ขันธ์เป็นภาระเฉยๆ แล้ววันสุดท้ายมาฉันอาหารของนายจุนทะ ฟังสิ “วันนั้นเราถึงซึ่งขันธนิพพาน” ขันธ์นี่ดับหมดออกจากใจ นี่บริสุทธิ์แล้ว

ตั้งแต่พระพุทธเจ้าฉันอาหารของนางสุชาดา แล้วคืนนั้นสำเร็จ นั่นล่ะสอุปาทิเสสนิพพาน คือพระอรหันต์ที่ยังมีชีวิตอยู่ แล้วพอมาฉันอาหารของนายจุนทะ นั่นน่ะคือถึงซึ่งขันธนิพพาน คืออนุปาทิเสสนิพพาน คือไปแล้ว บริสุทธิ์ จิตนี้บริสุทธิ์เลย ไปอยู่ที่นิพพานเลย แต่เวลาจะสื่อมานี่ก็เข้ามโนสัญเจตนาหารนี่ออกมาไง ถ้าจะสื่อมานะ เขาจะสื่อมา ท่านจะสื่อมาต่อเมื่อมีความจำเป็น มีอะไรนี่สื่อมา สื่อได้

สิ่งที่มีชีวิตน่ะ ดูสิ หางจิ้งจกมันขาดไปมันยังดิ้นดุกดิกๆ ได้ หางจิ้งจกมันออกไปจากตัวมัน เห็นไหม อันนี้พระอรหันต์ขึ้นไปอยู่บนนั้น แล้วจะลงมาเพื่อประโยชน์โลก ทำไมจะทำไม่ได้ แต่จะสื่อกับผู้เข้าฌานสมาบัติ ผู้ที่จิตสมควรจะถึงกัน ไม่สื่อมาแบบพวกเราหรอก ทำไมเรายังฝันถึงพระพุทธเจ้าได้ล่ะ เราฝันถึงครูบาอาจารย์ของเราได้ล่ะ อันนี้เราเปิดรับอย่างเดียว มันเป็นความฝันของเรา มันเป็นสัญญาของเรา เป็นสังขารของเราปรุงถึงครูบาอาจารย์ของเราที่เป็นพระอรหันต์ เราปรุงได้

แต่เวลาเข้าสมาบัติ เวลาเข้าอย่างนั้นน่ะมาเลย พูดกันด้วยภาษาใจ คุยกัน จับต้องกันเลย แต่อันนั้นเป็นไม่ใช่แบบที่เขาเป็นกันอยู่นี้นะ อันนี้ยกขึ้น เวลาเข้าปุ๊บมันจะเข้าตรงนั้น ตรงนั้นมันเป็นคือว่าเขาทำเพื่อเป็นธุรกิจ แต่อันนี้มันคือสัจจะ แต่อันนี้คนยิ่งรู้มากยิ่งต้องเก็บ เก็บนะ อันนี้เก็บไว้เพราะอะไร เพราะมันเป็นดาบสองคมไง มันเป็นสิ่งที่ว่าโลกนี้ไม่มี มันเป็นสิ่งที่เหนือโลก นี่อุตตริมนุสสธรรม ธรรมที่มนุษย์นี้ไม่มี พอไม่มีก็ต้องเก็บไว้ในหัวใจ ออกมาให้คนรู้มากไม่ได้

แต่อันนี้มันพูดเพราะมันรับไม่ได้ รับไม่ได้เลย สอุปาทิเสสนิพพานนะ มันถึงว่าเขาถึงตีความกันผิดไง สังขาร ๒ ไอ้ที่ว่า “ภิกษุทั้งหลายเธอจงอยู่ด้วยความไม่ประมาทเถิด จงพิจารณาสังขารด้วยความไม่ประมาทเถิด” ในปัจฉิมยามที่พระพุทธเจ้าจะนิพพาน

สังขาร พิจารณาสังขาร พิจารณาร่างกายก็ได้ สังขารร่างกาย กับสังขารขันธ์ ขันธ์ ๕ “ภิกษุพิจารณาสังขารด้วยความไม่ประมาทเถิด” นี่ควรจะตีเป็นอะไร ตีเป็นร่างกายก็ได้ ตีเป็นขันธ์ ๕ ก็ได้ ได้หมด เพราะตรงนี้มันเป็นเหตุ พระพุทธเจ้าพูดแต่เรื่องเหตุไง ต้องหาเหตุสาวไปหาผล ไม่พูดเรื่องผล เพราะผลนี่คนเข้าไปแล้วจะอ๋อเอง ถ้าพูดเรื่องผลนี่ทำให้เราสงสัย แล้วเราเข้าไปได้ลำบากมาก

แต่ถ้าพูดถึงเรื่องเหตุนะ แล้วให้เดินตามเหตุเข้าไป มันต้องถึงผลวันยังค่ำ จับถึงผลวันยังค่ำเลย จับเหตุแล้วสาวไปหาผล พระพุทธเจ้าจะพูดแต่เรื่องเหตุๆ เรื่องผลจะไม่ค่อยพูดถึง เพียงแต่ว่า รู้ว่าเวลาคนนั้นมาประสบความจริง นั่นน่ะ ถึงบอกว่าในหนังสือนั่นตอบแล้ว บทสุดท้ายยังพูดด้วยว่า เพราะว่าขบปัญหาไม่แตกใช่ไหม เพราะว่าเป็นเรื่องของอรรถกถา

อรรถกถานี่พูดถึงนะ ต้องมีความเข้าใจเรื่องนี้มาก อรรถกถาส่วนใหญ่มีความถูก แต่ทุกอย่าง หนังสือพิมพ์มาหลายๆ ครั้งนี้มันจะมีความผิดพลาดบ้าง ไอ้ความผิดพลาดนี่เราควรจะยกไว้ ก็เหมือนกับหลักเกณฑ์เราต้องยึดไว้ พระไตรปิฎกเป็นธรรมวินัยของเรา เราต้องเคารพมากๆ แต่ว่ามีผิดไหม? มี แต่ผิดมันเป็นส่วนน้อย ไม่มีแผนที่เลย ไม่มีเครื่องดำเนินเลย เราจะเอาอะไรจับต้อง เราจะเอาอะไรเป็นเครื่องดำเนินไป

ถึงบอกว่าพระไตรปิฎกนี่ต้องเคารพ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในเมื่อธรรมยังไม่กังวานในหัวใจของเรา ธรรมจะไม่เข้าถึงใจของเรา เราก็ต้องอาศัยธรรมที่เป็นสมมุตินี่ก่อน ธรรมที่เป็นหนังสือ พิมพ์อยู่ในตัวกระดาษนี่

แต่เวลาปฏิบัติแล้วอาจารย์มหาบัวท่านบอกบ่อยว่า “ปลวกมันกินเข้าไปทั้งเล่มเลยน่ะ มันยังไม่เป็นอะไรเลย เราเอานี้มาต้มกินนะ...” นี่พูดถึงเวลาย้อนกลับมาไง ไม่ให้เราว่าเรารู้แล้ว เราจะยึดมั่นอันนี้ เห็นไหม ความรู้อันนี้มันรู้ด้วยของเรารู้ ยืมมา มันยังไม่จริงหรอก ยืมมา กู้ยืมธนาคารมาต้องใช้หนี้เขานะ นี่ยืมพระพุทธเจ้ามา แล้วก็เอาความเห็นตัวเข้าไปบวก อันนี้เป็นดอกเบี้ย ดอกเบี้ยทำให้เราหลงผิด ให้เราพลิกแพลงไป แต่ถ้ามันรู้จริง มันจะ โอ้โฮ! อ๋อ! อ๋อ! เลย มันไม่เป็นอย่างที่เราคิดหรอก ไม่เป็น

ถึงว่า ในเมื่อเราต้องกราบพระไตรปิฎกอยู่ กราบนะ กราบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นี่มันเป็นสมมุติอยู่ แต่เป็นที่ยึดเหนี่ยวของเรา เราต้องเคารพ แต่นี้ถ้าพูดถึงปฏิเสธอันนี้เลย แล้วหลักศาสนาพุทธเราจะเอาอะไรเป็นเครื่องยืนยัน แต่ว่ามีผิดไหม? มี ผิด-ไม่ผิดไม่สำคัญ สำคัญว่าเราเข้าไปแล้วเราไปสัมผัสตรงนั้น แล้วเราค่อยคิดกันว่าถูกหรือผิด ครูบาอาจารย์ยังมีอยู่ ยังสามารถชี้นำได้ ตรวจสอบกันได้

นี่มันทำให้คนเข้าใจผิด มันตอบแบบวัตถุไง ตอบแบบวัตถุไปเลย คนตายก็คิดแค่ว่าคนตายไง แต่ไม่ดูว่าใจ เวลาตายนะ ใจไม่เคยตาย แต่พระอรหันต์นะ ตายตั้งแต่วันที่ว่าฉันข้าวของนางสุชาดา กิเลสตายหมด ไม่มีเกิดและไม่มีตาย อิ่มเต็มตลอดเวลา ไม่มีเกิดและไม่มีตายนะ ดับขันธ์ตั้งแต่นั้นดับไปเลย กายนี้หลอกกัน จะเห็นชัดๆ เลยว่าเวลาจิตมันตาย บุญกุศลพาให้เกิดดีๆๆ บาปอกุศลทำให้เกิดชั่วไป

แล้วเกิดดับๆ ตลอด แล้วมันก็มาเข้ากับเกิดดับ ตายข้างนอกกับตายข้างใน นี่เวลาความคิดเกิดขึ้น แล้วพระอรหันต์ เห็นไหม อาจารย์มหาบัวบอกว่า จิต เวลามันเสวยอารมณ์ไง จิตนี้เป็นว่างอยู่ จิตนี้เป็นภพอยู่ นี่มโนสัญเจตนาหารลงมา พึ่บ! มันมาพร้อมกับสติสัมปชัญญะ มันเคลื่อนไปพร้อมกับความกระเพื่อมของจิต มันรู้เท่าทุกวินาทีที่จิตนี้เคลื่อนไป

แล้วมันจะไปวิตกกังวลกับอะไรที่ว่าการเกิดและการตายล่ะ...หลอก สมมุติหลอกทั้งหมด หลอกแล้วมันจะไปกลัวอะไร พอมันไม่กลัวอย่างนั้นมันจะ...ตอบไม่ได้ ตอบอย่างนี้ตอบไม่ได้ ถึงว่าไม่... (เทปสิ้นสุดเพียงเท่านี้)